เพราะฉันคือ 10 of Swords

 



10 of Swords, กับตัวฉัน

ถ้าหากพูดถึงศาสตร์ไพ่ทาโรต์ 10 of Swords เป็นไพ่ที่ ซวยที่สุด ถ้าหากมองในแง่ของปัญหา ไล่ระดับตั้งแต่ 1-10 10 of Swords คือปัญหาระดับ 10 เต็ม นักอ่านไพ่ทาโรต์และผู้ชื่นชอบไพ่ทาโรต์ก็เลยมองว่า ถ้าหากเปิดเจอไพ่นี่เข้า เจ้าชะตาคนนั้นก็ซวยเข้าให้แล้ว

แต่อาจารย์สอนไพ่ทาโรต์บางคนได้บอกกับพวกเราว่า ไพ่ทาโรต์นั้นสามารถอ่านได้หลากหลายรูปแบบ มันขึ้นอยู่กับการตีความของผู้อ่านไพ่ทาโรต์ชุดนั้น บางทีสำหรับบางคน 10 of Swords อาจมีความหมายดีกว่าที่พวกเราคิดก็ได้ 

สำหรับผม ไพ่ชุดดาบ (Swords) เป็นตัวแทนของความคิด, การตัดสินใจ, ปัญหา, สติ พวกเรารู้กันดีว่าชีวิตที่สงบสุขคือชีวิตที่ไม่ต้องคิดเยอะ นี่คือคำแนะนำจากคนคิดมากคนหนึ่ง ช่วงชีวิตที่แฮปปี้ของผมคือ ตอนที่ผมใช้ความคิดน้อยลงและใช้สัญชาตญาณมากขึ้น ดาบเป็นเหมือนกับการตัดสินใจ และการตัดสินใจที่ดีย่อมมาจากการคิดที่ละเอียดรอบคอบ แต่บางครั้งเราก็คิดมากเกินไปจนทำให้ทุกอย่างดูจริงจังและทำให้ทุกอย่างดูอึดอัดไปหมด แม้ความคิดจะสามารถส่งอิทธิพลไปได้ และคนมักจะเกรงกลัวผู้มีความคิด แต่ความคิดมันก็ฆ่าคนตายมาแล้วนักต่อนัก และที่โหดร้ายที่สุดก็คือมันฆ่าเจ้าของมันด้วย

ผมเป็นคนคิดมากมาตั้งแต่วัยรุ่น ทุกการกระทำของผมมาจากอารมณ์และสัญชาตญาณ แต่ไม่รู้ทำไมผมกลับสนใจความคิดที่มาเสริมสิ่งสำคัญเหล่านั้นมากกว่า เหมือนว่าผมมองว่าความคิดเป็นสิ่งที่น่าหลงไหล ใครจะไม่ชอบคนฉลาด? ใครจะไม่ชอบคนที่ถามอะไรก็ตอบได้? ใครจะไม่ชอบคนที่สร้างอิทธิพลทางความคิดให้กับคนอื่น? เพราะแบบนั้นผมเลยเลือกที่จะคิดให้มากขึ้น แม้ว่าตอนนั้นผมจะชอบตอนที่ตัวเองขับเคลื่อนด้วยสัญชาตญาณมากกว่าก็ตาม ผมคงโทษสังคมหรือตัวเองได้เต็มที่ เพราะมันทำให้ผมกลายเป็นคนคิดมาก ผมโทษสังคมที่ทำให้ผมต้องกระเสือกกระสนในการหาความรู้และการถูกยอมรับทางความคิด ผมโทษตัวเองที่ทิ้งสิ่งที่มีความสำคัญมากในการใช้ชีวิตอย่างหนึ่งไป ไม่ว่าผมจะเลือกโทษสิ่งใดหรือทั้งสองสิ่ง ผมก็ต้องเป็นคนที่ต้องแบกรับผลกรรมนี้ด้วยตัวคนเดียว

10 of Swords เป็นตัวแทนของสุภาษิตไทยคือ ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด แถมยังทำให้เราเจ็บปานตายเพราะเราต้องแบกรับมันไว้ หากคุณแบกรับความคิดครั้งแรก มันจะมีครั้งต่อไปเสมอ และมันจะทวีความเจ็บปวดมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่เอาเข้าจริงมันก็ไม่ได้มีข้อเสียอะไรมากขนาดนั้น ผู้คนจะยอมรับว่าคุณมีความรู้เยอะมาก แต่ความรู้เหล่านั้นมันจะไปมีประโยชน์อะไรถ้าหากว่าคุณใช้ไม่เป็น? และยิ่งคุณรู้อะไรมากขึ้นในชีวิต คุณจะรู้ว่าโลกนี้มันมีเรื่องให้เครียดมากเกินไป ชีวิตที่สังคมบอกว่าถ้าทำสิ่งนี้คนอื่นจะยอมรับคุณ, คุณควรเข้าอกเข้าใจอื่น, คุณควรออกกำลังกาย, และคุณก็ต้องคิดวางแผนทางการเงินเพื่อให้ตัวเองมั่นคง, และดูเหมือนว่าคนที่อายุน้อยกว่าคุณเขานำหน้าคุณไปแล้ว คุณกำลังรออะไรอยู่? วิ่งตามไปสิ! นี่แหละคือดาบที่ปักหลังของผู้ที่นอนกองอยู่กับพื้น; ดาบที่เรียกว่า ความคิด 

ผมไม่ได้บอกว่าตัวเองตอนนี่ที่เป็นเหมือนกับ 10 of Swords จะลดระดับลงมาเป็น 9 of Swords แต่อย่างใด เพราะถ้าหากจะทำแบบนั้นได้ ผมก็ต้องปล่อยวางความคิดของผมลงก่อน และมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ผมเรียนพุทธศาสนามานานกว่า 5 ปี ผมรู้ว่าอะไรคือทุกข์, อะไรคือต้นเหตุของความทุกข์, อะไรคือการดับทุกข์ และอะไรคือหนทางในการดับทุกข์ แต่ความจริงของโลกใบนี้คือ มันเป็นเรื่องธรรมดาที่เราจะเจอความทุกข์ทุกวัน ต่อให้เราดับความทุกข์หนึ่งไปได้ เราจะเจอกับความทุกข์ต่อไปเสมอ ไม่ใช่เพราะเราไม่ดับสาเหตุความทุกข์ แต่เพราะเป็นเรื่องธรรมดาที่เราต้องเจอกับความทุกข์ใหม่ไปตลอดทั้งชีวิต ถ้าหากคุณบอกว่าศากยมุนีก็บอกหนทางการดับทุกข์แล้ว ทำไมคนเรียนศาสนาแห่งการปล่อยวางอย่างผมถึงทำไม่ได้? ผมบอกได้ตรงนี้ว่า การจะแก้ปัญหาทุกข์ที่เกิดขึ้นมาในชีวิตผมทั้งหมดนั้น มันคือการที่ผมไม่ต้องเกิดมาตั้งแต่แรก และผมคิดว่าถ้าพูดแบบนี้ออกไป เหมือนผมจะไปทำเรื่องผิดศีลข้อที่หนึ่งกับตัวเอง ไม่ต้องกลัว ผมไม่ทำแบบนั้นหรอกครับ ที่ผมต้องการจะสื่อก็คือ มันเป็นเรื่องธรรมดาที่เราจะเจอกับความทุกข์ใหม่ ๆ และเราต้องดับทุกข์ใหม่ต่อไปเรื่อย ๆ ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมพระอรหันต์หรือผู้ฝึกตนในพุทธศานา ถึงจุดหนึ่งจะเบื่อสิ่งที่โลกนี้นำมาเสนอให้; พวกเขาเจอทุกข์และต้องดับทุกข์จนหมดความชอบในโลกธรรมแล้ว

9 of Swords, กับตัวฉัน

ผมโชคดีที่ผมนั้นได้เจอเพื่อนที่เข้าใจและสอนสั่งในวิชาไพ่ทาโรต์และศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง ผมได้เจอกับมุมมองใหม่ ๆ ที่ผมไม่คิดว่าผมจะเข้าไปข้องแวะ และรู้สึกว่ามันผสมผสานกับความรู้ที่ผมมีได้อย่างไม่น่าเชื่อ แน่นอนว่ามีดาบหนึ่งเล่มปักหลังผมอยู่, นั่นคือ:

| "นายเป็นลูกของศากยมุนี ทำไมถึงไปเรียนวิชาอื่นล่ะ?"

ถ้าหากคุณอยู่ในพุทธนิกายเถรวาทสุดเข้มข้นแบบผม ที่มักจะด่าทอคนที่ทำให้สิ่งจริงแท้ดั้งเดิมแปดเปื้อนด้วยการแต่งใหม่ ก็ไม่แปลกที่ความคิดหนึ่งจะแล่นเข้ามาในหัวผมคือ ผมกำลังแปดเปื้อนจากทางของศากยมุนี ผมกำลังเป็นลูกไม่รักดีที่ไม่ทำตามคำสอนของพ่อที่เมตตา ถ้าหากความคิดนั้นเป็นจริง สิทธัตถะเองก็อาจถูกเรียกว่าเป็นลูกไม่รักดีได้เหมือนกัน 

สิทธัตถะเป็นลูกไม่รักดีของอาจารย์สอนสมาธิทั้งสอง เพราะสิตธัตถะไม่รับคำเชิญชวนให้ร่วมงานของพวกท่าน สิทธัตถะเลือกที่จะเดินตามเป้าหมายที่วางไว้ของตัวเอง จนในท้ายที่สุดก็ได้กลายเป็นศากยมุนี เรื่องนี้สอนอะไรผมได้บ้าง? ผมคิดว่าทั้งผมหรือสิทธัตถะไม่ได้เป็นเด็กอกตัญญูต่อครูบาอาจารย์ แต่พวกเราต่างก็รู้ว่ามีเส้นทางที่พวกเราอยากเดินต่อไปให้ถึงจุดหมาย ผมยังอยากมุ่งสู่นิพพานและเคารพรักศากยมุนีเหมือนกับพ่อทางธรรมไม่เคยเปลี่ยน แม้ว่าผมอาจจะต้องเจอกับอะไรหลายอย่างที่หันเหความสนใจ ความเคารพในตัวท่านที่ทำให้ผมกลายเป็นผมวันนี้ได้ ก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ผมอาจเจอทางที่ทำให้ผมเข้าใจตัวเองและธรรมชาติของสังสารวัฏในแบบที่ต่างจากทางที่ศากยมุนีให้ไปบ้าง แต่เพราะแบบนั้นมันเลยทำให้ผมเคารพศากยมุนีมากกว่าเดิม ผมต้องเจอกับอุปสรรคที่ผมต้องแก้ ผมอาจดูเหมือนกำลังหลงทางแต่ที่จริงมันคือส่วนหนึ่งของการเดินทางครั้งยิ่งใหญ่ เมื่อผมคิดได้ว่ามันคือส่วนหนึ่งในทางของธันวาคม; คนที่เขียนบทความนี้, คนที่เป็นคนคิดมาก, คนที่เป็นเหมือนกับ 10 of Swords เมื่อผมรู้แล้วว่ามันไม่ผิดเลยที่ผมจะต้องล้มลุกคลุกคลานและดูเหมือนหลงทางอยู่บ่อย ๆ มันทำให้ดาบเล่มนี้ออกจากหลังผมไปหนึ่งเล่ม ถึงผมอาจจะเครียดจนนอนไม่หลับบ้างเป็นบางคราว

8 of Swords, กับตัวฉัน

ความคิดมันบดบังความจริง ผมคิดมากหลายเรื่อง ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องที่มันไม่เคยเกิดขึ้น ผมทำให้เสียงบ่นเล็กน้อยกลายเป็นการด่าทอปานว่าผมไปฆ่าใครตายได้ง่ายมาก ผมเปลี่ยนความคาดหวังในทางที่ดีของพ่อแม่ เป็นภาระอันยิ่งใหญ่ที่ผมต้องแบกเหมือนกับ ปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ ที่จดจำคำพูดของ ลุงเบน ก่อนตาย คุณอยากรู้อะไรที่มันน่าสนใจไหม? ความจริงคือพวกเขาไม่ได้ทำอะไรที่รุนแรงระดับที่ผมคิดเลย! ใช่, บางคนอาจทำแย่กว่านั้น แต่โดยส่วนใหญ่แล้วพวกเขาไม่เคยทำอะไรถึงขั้นนั้นเลย ผมเคยโดนหมาบ้านอาจารย์กัดแล้วต้องไปฉีดยาแก้พิษสุนัขบ้า (เรื่องสนุกเล็กน้อยจากเหตุการณ์นั้นคือ ถ้าเราเคี้ยวยาพาราเซตตามอลจะทำให้มีฤทธิ์เร็วขึ้น 5 นาที นี่คือคำพูดจากอาจารย์สอนเภสัชร; เจ้าของหมาที่กัดนิ้วผม) ผมคิดว่ามันเจ็บมาก ๆ จนทนไม่ไหวเพราะอาจารย์บอกมาแบบนั้น แต่เมื่อผมได้ไปฉีดยา มันก็เจ็บจริง ๆ นั่นแหละ แต่ไม่เท่ากับที่ผมคิดไว้เลย 

ความคิดไปเองเป็นเหมือนกับดาบอีกเล่มที่ปักหลังผม เชื่อผมไหมว่าหลายคนก็มีดาบเล่มนี้ปักอยู่ข้างหลัง ความคิดไปเองมีได้เพราะมนุษย์นั้นชอบเรื่องเล่าแลพตำนานต่าง ๆ ความคิดไปเองนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดเรื่องเล่าเหล่านั้นด้วย พวกเราคิดว่ามันแย่กว่าที่มันเป็นเพราะเชื่อว่ามันคือการตั้งรับกับเหตุการณ์แย่ ๆ ที่จะเกิดขึ้น มันเกิดขึ้นแน่นอนแต่ไม่รู้ตอนไหน เพราะการที่เราไม่รู้ว่ามันจะมาตอนไหน เราเลยตั้งรับด้วยการคิดไปเองก่อนเลยว่ามันจะแย่ สาเหตุที่ทำแบบนั้นเพราะเราเชื่อว่ามันจะปกป้องตัวเราได้ เหมือนกับการกอดดาบเอาไว้กับตัว เผื่อว่าวันหนึ่งเราจะใช้ดาบนั้นแก้ปัญหา แต่ความเป็นจริงคือดาบนั้นสร้างปัญหาให้เราทันทีที่กอดมัน ผมกอดความคิดไปเองนานมากจนมันทำร้ายตัวเองไม่เว้นวัน ก่อนหน้าจะมาเขียนบทความนี้ผมก็คิดไปเองอยู่หลายเรื่อง กว่าผมจะกลับมาร่องกับรอยก็โดนฟาดกระบาลหลายครั้งอยู่ เราไม่ควรให้การคิดไปเองมาทำร้ายเราแบบนี้; เราไม่ควรให้ดาบที่มีไว้เพื่อป้องกันมาทำร้ายตัวเอง! บางทีมันคงอาจฉลาดกว่า ที่เราจะเก็บดาบเข้าฝักอย่างดี, สะพายข้างกายและหยิบมาใช้ในเหตุการณ์จำเป็น, ความคิดก็เหมือนกัน เราไม่จำเป็นต้องคิดไปเองทุกเรื่องทุกเวลา เราสามารถคิดได้ในตอนที่จำเป็น ในตอนที่ไม่จำเป็น เราก็เก็บมันเข้ากรุก็ได้ การเก็บเข้ากรุคือการรับรู้ว่ามีความคิดเข้ามาในหัว การแค่รู้ว่ามีความคิดเข้ามาแต่เราไม่ได้คิดจะเอามันไปใช้อะไร ช่วยให้ผมเก็บดาบนี้ได้อย่างถูกต้อง ต้องขอบคุณศากยมุนีที่เตือนสติและสอนผมในเรื่องนี้ มันเป็นความจริงที่ว่า ถ้าหากคุณไม่เคยเก็บดาบเข้าฝัก คุณจะทำมันอย่างเก้ ๆ กัง ๆ ผมเข้าใจพฤติกรรมนี้ดี เพราะในเรื่องผมเรียนรู้ครั้งแรกผมก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน แต่เชื่อเถอะว่าในวันถัด ๆ ไปที่คุณฝึกเก็บดาบเข้าฝัก คุณจะทำมันได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ 

7 of Swords, กับตัวฉัน

ความคิดโกหกผมมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง นิ้วทั้งสิบของผมนับมันไม่หมดหรือต่อให้นับนิ้วเท้าและยืมนิ้วเพื่อนสนิท คำโกหกของความคิดมันก็มีมากกว่านั้นเยอะ! ความคิดหลอกผมว่า นายไม่มีคุณค่าอะไรต่อโลกใบนี้ มันหลอกผมว่าผมไม่มีทางทำในสิ่งที่ผมรักได้สำเร็จหรืออาจหลอกผมว่า เพื่อนไม่ได้ชอบผม แต่เพราะผมเป็นคนฉลาด พวกเขาเลยเข้าหาเพื่อผลประโยชน์ มันโกหกหน้าด้าน ๆ มันโกหกเหมือนกับการแปะสติกเกอร์ที่เขียนว่า "รถคันนี้สีชมพู" ทั้งที่มันก็เห็น ๆ อยู่ว่ารถคันนี้สีดำ! แต่ผมก็ดันเชื่อมันจนสนิทใจว่ารถคันตรงหน้ามันสีชมพูจริง ๆ 

ศากยมุนีก็ได้ค้นพบความจริงนี้ก่อนหน้าผมมานานกว่า 2500 ปีและได้เปรียบเปรยถึงคนตาบอดที่ใช้ผ้าสกปรกมาเช็ดตัวและคิดว่าผ้านั้นคือผ้าที่ดีที่สุดในโลก เขาโดนหลอกจากชายคนหนึ่งที่บอกว่า "รับผ้านี้ไปสิ, ผ้านี้เป็นผ้าชั้นดี" พอคนตาบอดได้รับผ้านั้นมาก็ดีใจเป็นอย่างมากและตะโกนบอกทุกคนว่าตัวเองได้ผ้าชั้นดีที่หาใครเปรียบ แต่สายตาคนอื่นมองว่าชายตาบอดคนนี้ตาบอดของแท้ เมื่อชายตาบอดได้รักษาตาจนหายดี (ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำได้ไง) เขากลับพบว่าร่างกายของเขาเต็มไปด้วยสิ่งสกปรก สาเหตุนั้นก็มาจากการที่เขาเอาผ้าสุดรักในมือไปเช็ดตัว; ผ้าสกปรกที่เช็ดตัว ย่อมทำให้ร่างกายสกปรก แม้แต่เด็กก็เข้าใจเรื่องนี้ได้ คุณคิดว่าชายคนนั้นจะโมโหคนที่มาหลอกเขาแค่ไหน? นี่เป็นคำถามเดียวกันที่ศากยมุนีถามกับคนที่มาสนทนาธรรมด้วย ถ้าหากถามผม ผมว่าเขาโกรธแน่นอน คุณคิดบ้างไหมว่าการที่ชายตาบอดคนนั้นเชื่อว่านั่นคือผ้าที่ดีที่สุดในโลกมันหมายถึงอะไร? หมายความว่าเขาไม่เคยเจออะไรที่ดีเท่านี้มาก่อน และถ้าหากความจริงมันได้บอกกับเขาว่า "ไอ้โง่ ผ้านั่นมันของปลอม!"  เขาจะเสียใจและโกรธแค้นคนที่มาหลอกเขามากแค่ไหนกันเชียว ที่ไอ้ชั่วนั่นมันมาให้ความหวังอันคดเท็จแบบนี้ 

เป็นเรื่องน่าเศร้าที่คนหลอกลวงคนนั้นก็จะตอบกลับมาว่า "แล้วแกจะเชื่อฉันแต่แรกทำไม?" ใช่แล้ว, คนตาบอดคนนั้นเลือกได้ว่าเขาจะเชื่อคำพูดคนนี้หรือเลือกที่จะไม่รับผ้านั้นมาก็ได้ เพราะคนเลือกคือคนตาบอด คนตาบอดเลือกที่จะไปรักษาตาก่อนที่จะรับผ้าก็ได้ หรืออาจเก็บผ้าเอาไว้กับใครสักคน หรืออาจง่ายกว่านั้น ให้คิดพิจารณาจากความเห็นของคนอื่นที่มาบอกว่า ผ้านี้เป็นผ้าชั้นเลว  น่าแปลกที่เราเลือกเชื่อคนที่มาหลอก แต่กลับไม่เชื่อคนที่มาเตือนทีหลัง อาจเพราะลึก ๆ คนตาบอดคนได้ตะโกนบอกกับทุกคนว่านี้คือผ้าชั้นดีมานาน พอมีคนมาบอกว่ามันคือผ้าชั้นเลว คนตาบอดอาจไม่อยากเสียหน้าไปมากกว่านี้ก็เลยเลือกที่จะไม่รับฟัง และในสุดท้ายเมื่อเขากลับมาตาดีก็ไปโทษคนที่มาหลอกคนนั้นแทน ไม่ใช่ว่าผมไม่เห็นใจคนตาบอดคน กลับกันผมเข้าใจคนตาบอดคนนั้นเหมือนกับเป็นเรื่องของตัวเอง หลายครั้งที่เราปล่อยให้ความคิดโกหกเราและเราก็เลือกเชื่อมัน เพราะความคิดนั้นมันอยู่กับเรามานานจนเหมือนกับเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต แต่ที่จริงแล้วไม่ใช่, มันไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราเลย คุณไม่อยากให้ความคิดที่บอกคุณว่า คุณมันไร้ค่า อยู่ในชีวิตที่มีค่าของคุณจริง ๆ หรอก; คุณเลือกได้เสมอว่าจะรับผ้าผืนนั้นหรือไม่ 

6 of Swords, กับตัวฉัน

มันเจ็บปวดทุกครั้งที่ผมต้องดึงดาบที่ปักหลังของผม แต่ผมก็ต้องเดินหน้าต่อไป ไม่เคยมีใครบอกว่าชีวิตมันง่าย คุณคิดว่าชีวิตของมหาเศรษฐีง่ายดายเพราะเขามีเงินและอำนาจ แต่ความยากของชีวิตพวกเขาคือการรักษาเงินและการป้องกันหลังของตัวเอง ชีวิตมันยากเสมอมาและมันจะยากเสมอไป ถึงมันจะเป็นเหมือนกับปริศนาที่ไม่อาจแก้ได้ในวันเดียว แต่พวกเราก็ยังต้องใช้ชีวิตเพื่อแก้ปริศนาต่อไปอยู่ดี ผมรู้ว่าการที่ผมเป็นผมมาจนถึงทุกวันนี้ผมเสียอะไรไปเยอะมาก คนแรกก็แม่ของผมต่อจากนั้นก็เป็นเพื่อนต่อจากนั้นก็เป็นตัวของผมเอง

ความเจ็บปวดของการที่แม่ผมเสียใช้เวลาเยียวยาเกินกว่า 5 ปี มันฝังรากลึกจนผมไม่ทันสังเกต กว่าผมจะแก้ความรู้สึกติดค้างนี้ได้ ผมก็กลายเป็นผมวันนี้ไปแล้ว ผมจะไม่พูดว่าความตายเป็นเรื่องที่จะยอมรับได้ หากพูดถึงมันบ่อย ๆ บางคนอาจใช่ แต่อย่าลืมว่าก็มีคนที่ต่อให้ย้ำกี่ครั้งก็ไม่สามารถวางความเสียใจลงไปได้เช่นกัน เพราะงั้น, มันโอเคที่คุณจะร้องไห้ในวันที่คนรักตายไป ผมเลิกเสียใจที่ในตอนนั้นผมไม่ได้ร้องไห้แล้ว เพราะคู่หูของผมบอกว่า มันคือสิ่งที่ใครสักคนต้องทำ ไม่อย่างนั้นทุกคนจะไม่สามารถก้าวต่อไปได้ ผมไม่ได้อยากแข็งแกร่งในตอนที่ผมอยากอ่อนแอหรอก ผมอยากร้องไห้ในวันที่ผมอยากร้องไห้ออกมาก็เท่านั้น แต่ผมผ่านมันไปได้แล้ว ผมยอมรับและได้ร้องไห้ต่อเรื่องนั้นแล้ว การเดินจากมันเจ็บปวดเสมอ แต่เพราะแบบนั้นมันเลยทำให้แข็งแกร่งมากพอที่จะดึงดาบเล่มนี้ออกไปได้ในท้ายที่สุด

ชีวิตของคนเราต่างมีเรื่องที่ต้องทำให้จากกันไป ของผมอาจเป็นเรื่องของแม่ที่ค้างคาใจหลายปี บางคนอาจเป็นเรื่องของพ่อ, ของเพื่อน, ของแฟน หรือของน้องหมาที่อยู่ด้วยกันมานาน การโอบกอดความเจ็บปวดและเดินหน้าต่อเป็นเรื่องท้าทาย ความคิดเลยบอกให้เราปฏิเสธเรื่องพวกนั้นเพื่อให้เราได้หายใจต่อไปได้, แต่มันโกหกเรา; เราจะเดินหน้าต่อไปได้ก็ต่อเมื่อเราโอบกอดความเจ็บปวดและยอมรับปัญหาแล้วลงมือแก้ไข ไม่ใช่เพราะมันเป็นเรื่องที่ฟังดูสวยหรู แต่เป็นเพราะมันคือความจริงอันโหดร้าย ตัวอักษรที่เขียนว่า โอบกอดความเจ็บปวด มันทำให้คุณสัมผัสถึงความอ่อนโยน แต่ การโอบกอดจริง ๆ มันเจ็บปวดเป็นอย่างมากในครั้งแรกที่ได้กอด บางคนไม่สามารถทนรับความเจ็บปวดครั้งแรกนี้ได้, ผมเข้าใจว่าทำไม เพราะเราไม่คิดว่าคำสวยหรูอย่าง โอบกอดความเจ็บปวด มันจะเจ็บปวดมากขนาดนี้ เนื้อหาของคำนี้มีความจริงซ่อนอยู่ก็คือ มันรู้สึกอ่อนโยนจริง ๆ เมื่อได้ทำมัน แต่คุณต้องทนเจ็บในครั้งแรกให้ได้เสียก่อน ดังนั้น, สิ่งที่ท้าทายไม่ใช่ความยากในการโอบกอดความเจ็บปวด แต่เป็นการเตรียมใจเพื่อที่จะเจ็บปวดมากกว่า

ผมยังคงแนะนำให้คุณนั้นยอมรับข้อผิดพลาดของตัวเองและก้าวต่อไปในทางที่ตัวเองเลือก ผมไม่รู้ว่าทางของคุณหน้าตาเป็นยังไง, เพราะผมเองก็ยังสร้างทางของตัวเองอยู่ ผมไม่ใช่ผู้ประสบความสำเร็จในชีวิตที่ถูกจดจำจากคนในสังคมหรือในนิตยสาร TIMES ผมเป็นคนธรรมดาที่ใช้ชีวิต เพื่อในวันพรุ่งนี้ผมจะได้เจอกับทุกข์ใหม่ ๆ และแก้ทุกข์นั้นให้จบในหนึ่งวัน ทางของผมมันดูเรียบง่ายแต่น้อยคนที่จะทำได้ นี่อาจฟังดูคล้ายกันกับตำราเต๋าหรือ เต้าเต๋อจิง ของ เหล่าจื๊อ ที่เขาเองก็คงจะเจอทุกข์ในชีวิตเหมือนกัน เขาได้ยอมรับและก้าวข้ามเพื่อไปเจอทุกข์อันใหม่ แต่ตลอดชีวิตจนถึงวันที่ผู้นำทางมาพาเขาไปจากโลกฝั่งนี้ เขาคงใช้ชีวิตที่ผมนั้นอยากมีมาก ๆ คนหนึ่ง ทางของเต๋า, ทางของพุทธะ และทางของธันวาคม มันอาจเป็นเส้นขนานหรือเส้นที่ตัดกัน แต่มันจะไม่ใช่เส้นทางที่แยกออกไปซ้ายขวาแน่นอน เส้นทางของธันวาคมที่ธันวาคมคนนี้ต้องเดิน จะไม่เหมือนหรือตรงกับเส้นทางของคนอื่น และจุดเริ่มต้นในการเดินเส้นทางนั้นได้คือ โอบกอดความเจ็บปวด ของตัวเอง

5 of Swords, กับตัวฉัน

ความคิดเห็นของผมไม่ค่อยลงรอยกับคนอื่น ไม่ได้หมายถึงผมไปต่อล้อต่อเถียงกับพวกเขา แต่เป็นการทะเลาะกันในความคิดของผม หลายครั้งเหมือนกับว่าความรู้ที่มีของผมมันทำให้ผมรู้สึกว่าผมสูงส่งกว่าคนอื่น, ความเป็นจริงไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย คนบอกว่าผมนั้นเป็นคนฉลาดที่โง่ในเรื่องง่าย ๆ ผมเห็นด้วยกับสิ่งที่พวกเขาพูดนะ ผมเปรียบเทียบว่าตัวเองสูงส่งกว่าคนอื่นเพราะผมคิดแต่เรื่องยาก ๆ แก้ปัญหาแต่เรื่องยาก ๆ มากกว่าที่จะเอาความคิดไปแก้เรื่องง่าย ๆ ซึ่งผมคิดผิด

ปัญหาที่เข้ามาในชีวิตเราส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องเดิม ๆ และเป็นเรื่องที่เราใช้ความรู้ซับซ้อนแก้ในครั้งแรกที่เจอ จากนั้นมันจะไม่ใช่เรื่องซับซ้อนอีกต่อไป ความท้าทายของมันก็คือการแก้ปัญหาที่หน้าตาคล้ายกันด้วยวิธีการเดิม ศากยมุนีเล็งเห็นตรงจุดนี้ว่าเราควรจะแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ไม่ใช่แค่จะแก้ปัญหานั้นได้อย่างถาวร แต่บอกกับเราเป็นนัยยะว่าปัญหาที่ดูเหมือนคล้าย ๆ กันมันซับซ้อนกว่าที่เห็นอยู่ เราเจอกับปัญหาเรื่องความสัมพันธ์บ่อยกว่าปัญหาอื่น เพราะว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคม การอยู่รอดของพวกเราเลยขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ระหว่างคนรอบตัวเรา หากเราทำตัวไม่เอาไหนในสังคมการทำงาน ไม่ต้องแปลกใจว่าคุณจะรู้สึกว่าอยู่ยากและอยากออกจากตรงนั้นให้ไว มันดูเหมือนว่าชีวิตของเราไม่ลงรอยกับคนอื่น บางคนเลือกจะพูดออกมาเพื่อให้อีกฝ่ายรู้ว่าเรารู้สึกยังไง และบางคนเช่นผม เลือกที่จะคิดในใจและทะเลาะกับฝ่ายน้ันในจินตนาการแทน มันคือปัญหาความสัมพันธ์เดิม ๆ ที่เหมือนกับเป็นดาบที่ปักหลังเรามานาน

ผมมีปัญหาเรื่องการเข้าสังคม, ไม่มากก็น้อย ในสายตาของรุ่นน้องที่เคารพผม ได้บอกกับผมว่า เธอแปลกใจที่เห็นคนเงียบ ๆ สามารถไปยืนที่หน้าเสาธงและควบคุมหมู่ชนได้อย่างไม่เก้อเขิน เธอชื่นชมผมในฐานะของคนที่สามารถทำในสิ่งที่เป็นขั้วตรงข้ามของนิสัยได้ดี ผมอยากให้เธอรู้เอาไว้ว่าการจะทำแบบนั้นได้ ผมต้องใช้เวลาฝึกพอสมควร ผมขอบคุณเธอที่ชื่นชมและหวังว่าเธอจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่อยากเป็น แต่ผมเชื่อว่าตัวเองไม่ได้แตกต่างอะไรจากคนที่มีปัญหาเรื่องการเข้าสังคมคนอื่น ๆ ผมไม่สามารถเข้ากับเพื่อนได้ด้วยปัจจัยที่ว่า ผมแสดงพฤติกรรมออกมาอย่างเถรตรงและไม่สนใจความรู้สึกอีกฝ่ายมากเกินไป สังคมมนุษย์ใช้ความรู้สึกและสัญชาตญาณในการอยู่ร่วมกัน ที่ผมได้ทิ้งมันไปเพื่อเลือกความคิดที่แสนฉลาด มันเกิดปัญหาตั้งแต่อีกฝ่ายไม่เข้าใจการกระทำของผมไปจนถึงผมมองว่าพวกเขาเป็นคนที่ไม่ฉลาด มันคือ อัตตาทิฐิ ที่คิดว่าตัวเองเก่งกว่าคนอื่นโดยที่ผมไม่รู้ตัว ผมโดนเตือนเรื่องนี้มาหลายครั้ง แต่ผมก็ไม่ทันสังเกตสักครั้ง ในท้ายที่สุดผมก็กลายเป็นคนที่สังคมไม่ชอบขี้หน้าเพราะผมไม่เข้าอกเข้าใจคนอื่น 

ผมที่เจอกับเรื่องนี้มาหลายครั้ง มันไม่ได้รู้สึกดีเลย คุณอาจเข้าใจหรือไม่เข้าใจชุดตรรกะที่ประมวลผลโดยที่ไม่รู้ว่าทำงานยังไงอันนี้ได้ ผมเรียกมันว่า กล่องดำ (Black Box) มันอัดแน่นอะไรหลายอย่างจนผมไม่สามารถบอกได้เลยว่า ทำไมผมถึงตอบแบบนั้นไป แต่ผมเชื่อกล่องดำอันนี้มากกว่าที่คุณคิด กล่องดำอันนี้สร้างความประหลาดใจให้ผมมาหลายครั้ง และมันก็สร้างบาดแผลทางใจกับผมเยอะเหมือนกัน ผมในตอนนี้กำลังเรียนรู้ที่จะเข้าอกเข้าใจคนอื่น มันยอดเยี่ยมมาก ๆ กับการเรียนครั้งนี้! คุณรู้หรือเปล่าว่า คนที่เข้าอกเข้าใจคนอื่นทำตัวยังไงถึงจะโดนมองแบบนั้นได้? ตั้งใจฟังสิ่งที่คนอื่นพูด มันคือวิธีการเพียงหนึ่งเดียวที่ทำให้ผมรู้สึกว่าผมกำลังเข้าอกเข้าใจคนอื่นอยู่

สาเหตุที่ผมขัดแย้งกับคนอื่นคือการที่ผมไม่คิดจะฟังเขาแต่แรก เพราะผมตัดสินไปแล้วว่าความคิดของเขาไม่อาจเทียบความคิดของผมได้ การตั้งใจฟัง (Active Listening) เปลี่ยนแปลงตัวผมไปมากโข มันยากมากนะ, ในการตั้งใจฟังที่คนอื่นพูดแบบ ตั้งใจฟังจริง ๆ เพราะเราอาจเถียงกลับภายในใจเราตลอดเวลาที่อีกฝ่ายแสดงความคิดเห็นที่ผิดในสายตาเรา การตั้งใจฟังมีวิธีการอย่างเดียวคือ การฟังและคิดตามจากนั้นถามในสิ่งที่สงสัย ในขณะที่การคิดแบบอัตตาทิฐิ (Egotistic thinking) มีวิธีการคือ ฟังนิดหน่อย, ถ้าเจอสิ่งที่ไม่ชอบใจให้หาคีย์เวิร์ดเพื่อเตรียมสวน จากนั้นสร้างประโยคสุดเจ็บและพูดมันออกมาไม่สนใจเวลาที่เหมาะสม ถ้าอีกฝ่ายแสดงความไม่พอใจก็แสดงความรุนแรงที่มากกว่าเดิม  ผมตั้งใจเขียนให้เห็นความแตกต่างชัดเจนคือ การฟังอย่างตั้งใจมีกระบวนการที่เรียบง่ายกว่า, สั้นกว่า แต่ให้ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมมากกว่า ผมไม่แนะนำให้คุณคิดแบบอัตตาทิฐิ ไม่ใช่เพราะอยากให้คุณดูเป็นคนดีขึ้น แต่เพราะมันไร้ประโยชน์ต่างหาก ความคิดแบบอัตตาทิฐิไม่ได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนาอะไรขึ้นมา มุมมองของคนที่มีความคิดคือ การพัฒนาให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ ไม่มีที่สิ้นสุด แต่ความคิดแบบอัตตาทิฐิไม่ได้ทำอะไรแบบนั้น ความคิดแบบอัตตาทิฐิมีไว้เพื่อเป็นที่ระบายความอัดอั้นในใจเราที่ไม่ถูกสังคมยอมรับในความรู้ คนที่มีความคิดอีกรูปแบบรู้ว่าการระบายความอัดอั้นในใจมีได้หลายวิธี ที่ให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าวิธีการนี้ ความคิดแบบอัตตาทิฐิมันเป็นที่นิยมในการเลือกใช้เพราะเรารู้สึกว่าเราได้รับการยอมรับจากตัวเองเร็วกว่าวิธีการอื่น  เมื่อเราเหยียบคนอื่นเราจะรู้สึกว่าเราสูงขึ้น และเราได้รับการยอมรับจากตัวเองทันทีตอนนั้น ผมยอมรับว่าตัวเองทำอย่างนั้นเพื่อคลายเครียดและรู้ว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ดี; เหมือนกับเรารู้ว่าสูบบุหรี่มันไม่ดีแต่เราก็ยังอยากสูบ เพราะบุหรี่มันทำให้เราคลายเครียดได้ทันทีกว่าการนั่งพิจารณาธรรมจนเกิดปัญญาเห็นแจ้ง ผมอยากบอกว่าวิธีการคลายเครียดอีกอย่างหนึ่งของผมนอกจากการคิดแบบอัตตาทิฐิมีอยู่, นั่นก็คือการตั้งใจฟังเรื่องของคนอื่น เพราะมันทำให้ผมยอมรับตัวเองได้ดีกว่า (Healthy) การคิดแบบอัตตาทิฐิ ยิ่งผมตั้งใจฟังเรื่องของคนอื่นและแลกเปลี่ยนความคิดของผมกับเขาด้วยความเคารพ ผมยิ่งยอมรับตัวเองได้มากขึ้นเท่านั้น

ความขัดแย้งมีได้เสมอ บางครั้งก็เพื่อการพัฒนาให้เกิดสิ่งใหม่ที่ดีกว่าเดิม หรือบางครั้งก็แค่ทำให้เรามีความสุขทันทีแต่เสียสุขภาพจิตในวันหน้า การคิดแบบอัตตาทิฐิมีข้อดีของมันคือ การได้คิดในแบบทางของตัวเอง ถ้าเรารู้แล้วว่าสาเหตุที่เรามีความคิดแบบอัตตาทิฐิเพื่อให้เรายอมรับตัวเองมากขึ้น มันจะดีกว่าไหม? ถ้าเราหันกลับไปหาวิธีการที่ง่ายกว่า, ดีกว่า, ช้ากว่า และส่งผลดีมากกว่าอย่างการตั้งใจฟัง ไม่ใช่แค่ทำให้คนอื่นมองคุณว่าคุณเป็นคนที่เข้าอกเข้าใจอื่น แต่ในแง่ประสิทธิภาพ การตั้งใจรับฟังข้อมูลมุมอื่น จะทำให้เกิดการพัฒนาที่ไม่มีที่สิ้นสุด 

4 of Swords, กับตัวฉัน

สิ่งที่ผมต้องการคือการหยุดพัก และบางครั้งการหยุดพักมันทำให้ผมเจ็บปวด การหยุดไม่ได้หมายถึงในแง่ดีอย่างเดียว แต่หมายถึงในแง่ของการไม่กล้าเผชิญหน้ากับปัญหาที่เกิดขึ้นจากการเลือกของเราด้วย หลายครั้งผมมักจะโดนบอกเสมอว่า ให้หาเวลาหยุดพักบ้าง หรือไม่ก็เลิกพักได้แล้ว ความขึ้นสุดลงสุดของผมยังเป็นเรื่องที่ต้องปรับปรุงแก้ไข นิสัยนี้ติดตัวมาตั้งแต่เด็ก, มันไม่ได้เป็นนิสัยที่มีแต่ข้อเสียหรือข้อดี แต่หลายครั้งมันจะสร้างปัญหาให้เราในอนาคต ส่วนใหญ่ปัญหาที่ว่ามามันมาจากความคิดที่ต้องเผชิญกับปัญหามากกว่าตัวปัญหาเอง ผมเลยรู้สึกว่าอยากพักผ่อนจากปัญหาที่รอวันแก้ไข เพราะมันทำให้ผมรู้สึกว่ามันท้วมท้นทางความรู้สึก 

ก่อนที่จะเขียนบทนี้ ผมทะเลาะกับคู่หูของผม เธอต้องการอยากระบายออกมา เพื่อไม่ให้ตัวเองนั้นเก็บกดไปมากกว่านี้ ส่วนผมก็ทำหน้าที่นักฟังไม่ดีเท่าไหร่ ส่วนที่ผมสังเกตคือพวกเราทั้งสองคนต่างต้องเจอปัญหาที่ไม่มีใครเข้าใจนอกจากตัวเอง ทางออกเดียวคือการระบายมันออกมาในแบบของตัวเอง ผมเลือกที่จะทำให้เกิดการทะเลาะนี้โดยมีสติรับรู้ตัวเอง มันไม่ใช่ความรู้สึกเกลียดเธอเลยพูดแบบนั้นออกไป กลับกันผมรู้สึกว่าการทำแบบนี้มันจะทำให้เธอกับผมได้เรียนรู้อะไรบางอย่าง มันเป็นการเรียนรู้ที่เจ็บปวดสำหรับคู่หูของผม เธอบอกว่าผมเป็นเหมือนครึ่งหนึ่งของชีวิต แต่กลับมาทำร้ายเธอแบบนี้ พวกเราไม่เหมือนกัน ทั้งความคิดและวิถีการดำเนินชีวิต แต่พวกเราอยู่ร่วมกันได้ด้วยความจริงใจ ผมไม่บอกว่าการเลือกครั้งนี้เป็นการเลือกที่ดีที่สุด แต่สำหรับผมตอนนั้น ผมอาจเป็นฆาตกรที่ยุยงให้เธอด่วนจากไปหรืออาจเป็นบททดสอบที่เธอต้องก้าวข้าม ไม่ว่าทางเลือกไหนผมก็ยอมรับได้ถึงมันจะเต็มไปด้วยความคิดมากและความเศร้าก็ตาม 

พวกเราทั้งสองอยากพักผ่อนอย่างสงบสุข, ผมว่าคนอื่น ๆ ในสังคมก็ไม่ต่างกัน พวกเราอยากพักผ่อนกับคนที่เราไว้ใจ, หัวเราะกับเรื่องงี่เง่า, ร้องไห้ในวันที่อยากร้อง, เล่าเรื่องที่ค้างคาใจออกมาเพื่อให้เรายังคงใช้ชีวิตต่อไป ในเรื่องของการทะเลาะครั้งนี้มันสอนผมให้เข้าใจเธอมากขึ้น และผมหวังว่าเธอจะเข้าใจตัวเองมากขึ้น ผมบอกกับเธอว่า ถ้าหากมันจำเป็นที่จะต้องทำให้เธอกลับเข้ามาเข้าร่องกับรอย ต่อให้โดนเกลียดผมก็ยอม จริง ๆ แล้วผมไม่ได้ยอมในตอนที่พูด แต่เป็นหลังจากนั้นหลายเดือนต่างหาก กว่าผมจะเข้าใจว่าผมไม่อยากให้เธอเกลียดผม ผมก็ทำให้เธอรู้สึกไม่ดีเข้าให้แล้ว ถึงแบบนั้นผมก็ยังเชื่อเสมอว่าเธอจะก้าวข้ามบททดสอบได้ แต่ผมจะไม่ใช่คนที่มารับผิดชอบเรื่องการก้าวข้ามของเธอ ผมเองก็มีบททดสอบของตัวเองที่ต้องผ่านไปให้ได้เหมือนกัน แต่เราเลือกที่จะพูดคุยกันได้, หัวเราะกันได้, โกรธกันได้ หรือแม้แต่ร้องไห้ด้วยกันระหว่างการเดินทางของตัวเอง ที่จริงแล้วดาบเล่มนี้ไม่ได้มีไว้เพื่อเตือนผมให้พัก แต่เป็นการเตือนว่าอย่าหนีปัญหาที่ตัวเองก่อ ผมสามารถพักได้ถ้าหากว่าผมอยาก แต่อย่าได้ให้ความคิดว่าจะพักเป็นการหนีปัญหาเด็ดขาด 

ส่วนต่อไปนี้เป็นข้อความถึงคู่หูของผม คุณสามารถข้ามได้ถ้าหากต้องการ:

ผมไม่ใช่คู่หูที่ดีเหมือนอย่างที่ผมคิด ยิ่งผมอยู่กับคุณมันทำให้ผมได้รู้ว่าตัวเองมีข้อบกพร่องมากแค่ไหน ไม่ใช่เพราะคุณบอก แต่คุณแสดงให้เห็นผ่านการใช้ชีวิตที่ธรรมดา ผมเป็นเหมือนคนฉลาดที่ใช้ความรู้ไม่เป็น อีกทั้งเป็นคนจริงจังที่ไม่เข้าใจบรรยากาศรอบข้าง ผมมองแต่สิ่งที่ทำให้ทุกอย่างขับเคลื่อนไปข้างหน้าโดยไม่สนใจความรู้สึกของคนอื่นหรือแม้แต่ของตัวเอง คุณไม่ได้ทำอะไรผิด, คุณไม่เคยทำอะไรแบบนั้น คุณชัดเจนกับความรู้สึกของตัวเอง คุณคอยช่วยเหลือผมให้ผ่านเรื่องแย่ ๆ ได้เสมอ คุณก็เป็นบททดสอบในชีวิตของผม ผมเข้าใจว่าผมคงเปลี่ยนแปลงตัวเองในทันทีไม่ได้ ผมยังคงเป็นคนจริงจังที่ไม่เข้าใจอารมณ์ความรู้สึกคนอื่น ในการทะเลาะครั้งนั้นผมไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองถูกหรือรู้สึกว่าตัวเองผิด ไม่ได้รู้สึกว่าสิ่งที่ตัวเองทำเป็นสิ่งที่ดีหรือเป็นสิ่งที่ผิด ในสายตาของผมตอนนั้นมีแค่ว่าคุณกำลังมองข้ามอะไรบางอย่างที่สำคัญ, อย่างน้อยในสายตาผม และผมไม่อยากให้คุณมองด้วยฟิลเตอร์ขุ่นมัวแบบนั้น ผมรู้ดีว่ามันมีทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้ ถ้าหากใช้เวลาคิด แต่ตอนนั้นความรู้สึกของผมเป็นคนตัดสินให้พูดแบบนั้น และผมรู้ว่ามันจะจบลงยังไง 

ทุกคำที่คุณพูดมันแทงเข้ามาในใจ แต่ผมยอมรับมันได้ ผมอาจนิ่งเฉยในตอนที่คุณเล่า แต่ผมไม่นิ่งเฉยในความรู้สึกที่คุณส่งมา ผมไม่ได้มองว่าคุณเป็นของตาย คุณเองก็คงไม่ได้มองผมแบบนั้นเหมือนกันจากที่คุณแสดงออกมา ผมอาจเลือกในสิ่งที่แย่ ในทางเลือกอื่น ๆ ที่มันก็แย่เหมือนกันในความคิดผม ผมอาจเลือกนิ่งเฉยเพื่อให้เรื่องทุกอย่างมันจบ แต่คุณอาจจะยังมีฟิลเตอร์ขุ่นมัวนั้นอยู่ต่อไป ผมไม่อยากให้คุณมีมัน; ไม่อยากให้มีฟิลเตอร์ที่มองแต่สิ่งแย่ ๆ ต้องขอบคุณน้องเนที่ทำให้คุณรู้สึกดีขึ้น ผมเคยอิจฉาเขา แต่ตอนนี้ผมขอบคุณที่เขาเข้ามาในชีวิต มันเจ็บปวดเสมอที่เรานั้นเลือกจะหนีและปล่อยให้ปัญหาที่ควรแก้ค้างคาไว้ ผมคิดว่า...ไม่...ผม รู้สึกว่า ถ้าหากในตอนนั้นเป็นผมเองที่เจอวันร้าย ๆ และกำลังมัวเมากับฟิลเตอร์ที่บังตา คุณก็คงอาจทำอะไรบางอย่างที่ทำร้ายใจผม เพื่อให้ผมดีขึ้นมาก็ได้ หรือไม่แน่คุณอาจมีทางเลือกที่ดีกว่าที่ผมทำมากโข 

พวกเราแตกต่างกัน เป็นคู่หูที่ดูยังไงก็ไม่น่าจะเข้ากันได้ ผมเคยคิดเหมือนกันว่าพวกเราแตกต่างกันเกินไปในหลายแง่ แต่เพราะอะไรบางอย่างมันทำให้พวกเรายังมีกันและกัน การหยุดพักจากความสัมพันธ์ที่เคยมีกลับเป็นความสัมพันธ์ของคู่หู มันทำให้ผมเจ็บปวดมากกว่าที่ผมคิดไว้ แต่มันทำให้ผมรู้ตัวว่าผมควรเป็นอะไรที่ดีสำหรับคุณให้มากกว่านี้ ไม่ใช่แค่ดีแต่ปาก แต่เป็นผมที่ดีขึ้น, โตเป็นผู้ใหญ่ที่ผมต้องการที่จะเป็น พวกเราแตกต่างกันในหลายแง่จนไม่มีใครคิดว่าพวกเราจะเข้ากันได้ มันเหมือนกับคุณเลี้ยวซ้าย ผมเลี้ยวขวา, คุณเลี้ยวขวา ผมจะเลี้ยวซ้าย ผมบอกกับคนอื่นตลอดว่าคู่หูของผมไม่มีอะไรที่เหมือนผมเลย แต่ผมกลับภูมิใจเขาที่เป็นแบบนั้น คุณสามารถสร้างบรรยากาศที่ดีกับคนอื่น, เห็นอกเห็นใจคนอื่นได้ดีมากกว่าผม คุณจริงใจกับคนจนคนรู้สึกได้ ผมภูมิใจที่คุณเป็นแบบนั้น แต่เมื่อเห็นคุณกำลังหลงทางและทางเลือกของผมมีแต่ทางเลือกที่แย่และแย่กว่า ผมไม่ได้ขอให้คุณเข้าใจผมในการตัดสินใจครั้งนั้น แต่ผมต้องเลือกที่จะทำให้คุณกลายเป็น เปลวไฟ ที่ผมได้เห็นจากคุณในตอนแรกให้ได้ มันเจ็บปวดที่เห็นดาบปักหลังคุณและผมทำอะไรไม่ได้ เพราะผมรู้ว่าดาบพวกนั้นต้องดึงมันออกมาเอง ทางเลือกที่แย่มันเลยเป็นทางเลือกที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ขอให้คุณได้พักผ่อนเพื่อในวันพรุ่งนี้ที่คุณตื่นมาแล้วพบว่าตัวเองยังมีเปลวไฟในวิญญาณ ผมคือบททดสอบของตัวเองและของคนอื่น บททดสอบไม่ใช่เรื่องสำคัญ ทั้งไม่ใช่เรื่องที่ไม่สำคัญ; มันเป็นแค่บททดสอบเท่านั้น โจทย์ของมันมีไว้เพื่อให้เราได้เจอกับคำตอบในแบบของเรา เพราะงั้นผมไม่ได้มองว่าตัวเองสำคัญในชีวิตคุณฐานะแบบทดสอบ ผมสำคัญในชีวิตของผมเอง และคุณเลือกได้ว่าผมสำคัญกับคุณหรือไม่ คำตอบของผมในโจทย์เดียวกัน, คุณสำคัญกับผม และผมอยากให้คู่หูของผมได้เดินตามทางที่ตัวเองเลือก สิ่งสำคัญในการสร้างเวทย์มนต์คือจินตนาการ, คุณได้บอกผม ผมเลยอยากบอกคุณว่า สิ่งสำคัญในการเลือกคือความรู้สึกของคุณเอง, ให้ความสำคัญกับตัวเองมากขึ้นเถอะนะ 

3 of Swords, กับตัวฉัน

ความเสียใจ, ความหึงหวง เกิดจากความคิดของผมทั้งนั้น จริง ๆ พวกมันเป็นความรู้สึกที่ความคิดของผมหาเหตุผลมารองรับในการกระทำของตัวเอง ผมได้มารู้ตัวว่าหลายครั้งในการตัดสินใจของผมมันมาจากอารมณ์ ความคิดหาเหตุผลมารองรับเพื่อให้ผมรู้สึกดีขึ้น เหมือนกับว่าผมได้ตัดสินใจด้วยเหตุและผลแล้ว ความเสียใจเป็นความรู้สึกของการโดนหักหลัง ทั้งจากความคาดหวังที่เราสร้างขึ้นหรือจากคนอื่น, ความหึงหวงก็เป็นไปในทำนองเดียวกัน ผมคิดว่าผมจะก้าวข้ามความรู้สึกพวกนั้นได้สักวัน, แต่ผมทำไม่ได้ ไม่ใช่เพราะมันยากหรือเจ็บปวด แต่เพราะว่ามันคือส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมยังมีชีวิต

ผมบอกไปแล้วในบทก่อนหน้าว่า ชีวิตเป็นเรื่องของการได้เจอกับปัญหาที่เราต้องแก้ไปเรื่อย ๆ ความเสียใจเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาเหล่านั้น มันเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เรายังเป็นมนุษย์ มันทำให้เราออกตามหาว่าอะไรคือหนทางในการทำให้เรากลับมามีความสุข ผมเชื่อว่าสิทธัตถะคงไม่ออกไปบวช ถ้าเขาไม่รู้สึกว่าชีวิตนี้มันหักหลังเขา ความเสียใจคงเกิดขึ้นมาจนไม่อาจเก็บมันไว้ได้ เขาเลยตั้งคำถามออกมาว่า "เราจะแก้ปัญหานี้ได้อย่างไร?" ผมไม่ยกตัวเองเหมือนสิทธัตถะหรือศากยมุนี แต่ความสงสัยของผมเองก็เหมือนกันกับเขา มันอาจไม่ได้เพื่อแก้ปัญหาให้กับสิ่งมีชีวิต แต่เพื่อแก้ปัญหาชีวิตของผมเอง ผมรู้สึกว่าเราไม่จำเป็นต้องทำเพื่อคนอื่นมากขนาดนั้น หากเรายังไม่พร้อมที่จะทำเพื่อคนอื่น และมันโอเคที่เราจะแก้ปัญหาตัวเองก่อน เพราะเรากระจ้อยร่อยและอ่อนแอเกินไปที่จะแก้ปัญหาชีวิตทุกคนด้วยตัวคนเดียว แม้แต่การเผยแพร่ศาสนาพุทธก็ยังต้องพึ่งพาสานุศิษย์ให้ออกตระเวนไปหลายทิศ, ไม่ใช่การเผยแพร่จากแค่ศากยมุนีคนเดียว 

ผมคาดหวังกับตัวเองว่าจะช่วยทุกคนได้ แต่ผมไม่สามารถช่วยตัวเองได้เลย ผมอยากแก้ปัญหาให้กับคนอื่น แต่ผมยังไม่สามารถแก้ปัญหาตัวเองได้เลย ในหลากหลายนิกายของศาสนาพุทธ นิกายมหายานเชื่อว่า การที่เราจะบรรลุธรรมย่อมต้องพาคนอื่นบรรลุด้วย เป็นแนวคิดที่น่าสนใจและดูมีเมตตา แต่สำหรับผมแล้ว ผมต้องให้ตัวเองเป็นยานพาหนะที่แข็งแกร่งก่อนถึงจะพาคนอื่นไปในทิศทางใดได้ ผมไม่เจาะจงเรื่องของการทะเลาะกันของมหายานและเถรวาท แต่ความเชื่อของสองนิกายนี้ต่างมีไว้เพื่อสิ่งที่ตัวเองคิดว่ามันคือทางออกจากสังสารวัฎ ผมคิดว่าไม่มีแนวคิดไหนเป็นเรื่องที่ผิด หากเราช่วยเหลือคนอื่นแล้วเราบรรลุธรรม ย่อมเป็นเรื่องดี หรือถ้าหากเราเชื่อว่าเราต้องทำตัวเองให้แข็งแกร่งก่อนที่จะช่วยเหลือใครได้ ก็ย่อมเป็นเรื่องดีเหมือนกัน เราคาดหวังว่าสิ่งเหล่านี้จะทำให้เรารอดพ้นจากความทุกข์, ความเสียใจ, ความหึงหวงในชีวิต แต่มันก็ทำได้แค่ให้เรายอมรับกับความทุกข์ที่ไม่อาจหลีกหนีได้ พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่บอกกับพวกเราให้ดับทุกข์, ทุกข์ที่ว่าคือการยึดติดในปัญหาที่เกิดขึ้น ปัญหาไม่ได้หายไป มันเกิดขึ้นมาเรื่อย ๆ แต่ความยึดติดในปัญหาเป็นสิ่งที่ศากยมุนีและสานุศิษย์ได้ถอนออกมาแล้ว พวกเขายังเจอกับความไม่พอใจ, ความเสียใจ, ความหึงหวง แต่พวกเขาไม่ได้มองว่านั่นคือตัวตนของเขา มองว่าเป็นเพียงปัญหาที่เกิดขึ้นกับทุกคนบนโลก ไม่ใช่ว่าศากยมุนีและสานุศิษย์จะหนีปัญหา กลับกันพวกเขาเข้าไปแก้ปัญหาที่ต้นตอด้วยความสงบนิ่ง บางคนอาจหนีปัญหาและหวังว่ามันจะดีขึ้น บางคนแก้ปัญหาจากสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว และสานุศิษย์ของศากยมุนีแก้ปัญหาที่ต้นตอด้วยความสงบ โดยที่รู้ว่าพวกเขาไม่สามารถหนีออกจากดาบที่จะปักหลังเล่มนี้ได้ แต่พวกเขาจะดึงมันออกมาด้วยความสงบและตั้งรับการโจมตีจากดาบเล่มนี้เป็นอย่างดี 

2 of Swords, กับตัวฉัน

วันที่ผมยังใช้สัญชาตญาณในการตัดสินใจ มันคือวันที่ผมมีความสุขมากกว่าวันที่ผมคิดถี่ถ้วนเสมอ การคิดถี่ถ้วนเป็นเรื่องที่ดีในการวางแผน แต่มันก็ทำให้เกิดความคิดมากตามมา หลายครั้งของชีวิต, สัญชาตญาณช่วยชีวิตพวกเราไว้เกือบทุกครั้ง เขาว่ากันว่า สัญชาตญาณ (Intuitive) เกิดจากการจดจำรูปแบบของสถานการณ์ที่เคยเกิดขึ้น มาปรับใช้กับเหตุการณ์ตรงหน้า แบบทันที เราไม่สามารถเข้าใจได้ว่า ทำไมเราถึงเลือกทำแบบนั้น แต่เราก็ทำไปแล้ว และนั่นมันมาจากสัญชาตญาณ

    ถ้าหากเราพูดกันในแง่ของจิตวิญญาณ (Spiritual) เราอาจพูดได้ว่าสัญชาตญาณเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมากในการฝึก เราไม่สามารถพึ่งพาแต่ความคิดในการฝึกฝนด้านจิตวิญญาณได้ และผมก็มีเรื่องเล่าของตัวเองที่เกี่ยวกับเรื่องนี้เหมือนกัน

    ย้อนไปสมัยที่ผมยังไม่เจอคู่หู ผมเป็นคนที่นับถือศาสนาพุทธที่เข้มมาก ผมปฏิเสธและด่าทอคนที่บอกว่าตัวเองทำนายดวงชะตาคนอื่น ว่าเป็นพวกลวงโลก เมื่อผมได้เจอกับพวกเขาผมก็จะค่อย ๆ หายตัวไปจากตรงนั้น เว้นแต่คนเดียวคือคู่หูของผม ความคิดของผมต่อนักอ่านดวงชะตาคือ คนที่หลอกคนอื่นให้ทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการ โดยทำให้คนที่หมดศรัทธาในตัวเองเชื่อคำหลอกลวงที่ไม่เป็นจริง แต่เธอเป็นคนที่จริงใจมากกว่าที่ผมคิดไว้มาก 

    การเดินทางของผมที่มีเธอทำให้ผมเจออะไรหลายอย่าง และยอมรับว่าเส้นทางของเธอกับผมสามารถเดินไปด้วยกันได้ ในแง่ของนิสัย, อาจไม่เหมือนกันเลย แต่พวกเราก็อยู่ร่วมกันได้เพราะการรับฟังซึ่งกันและกัน สัญชาตญาณเป็นสิ่งที่ชักนำให้เกิดความคิดที่มีเหตุผล ชีวิตไม่สามารถขาดสัญชาตญาณได้เลย คุณนึกสภาพของผู้ชายที่มีความรู้แต่ไม่รู้ว่าต้องใช้ชีวิตทั่วไปยังไงดู, ผมเป็นผู้ชายในตัวอย่างนั้นเอง แต่ผมต้องเข้าข้างความคิดว่า ชีวิตก็ไม่สามารถพึ่งพาแต่สัญชาตญาณได้เช่นกัน  เราอยู่ในสังคมที่มีการพัฒนาด้านความคิด แนวคิดต่าง ๆ มีส่วนหนึ่งที่ทำให้เราเข้าใจซึ่งจิตวิญญาณ เรียกว่าชีวิตที่พึ่งพาอย่างใดอย่างหนึ่งมากเกินไป ไม่อาจเรียกว่าชีวิตที่สมบูรณ์ได้ ศากยมุนีได้เคยพูดเรื่องนี้ไว้คือ ดวงตาเห็นธรรม (ในที่นี้หมายถึงสัญชาตญาณ) และดวงตาเห็นโลกธรรม (ในที่นี้หมายถึงแนวคิดในโลก) ผู้ที่เข้าใจศาสตร์พุทธจะมีดวงตาทั้งสองนี้ครบถ้วนบริบูรณ์ ผมเป็นคนที่ดวงตาเห็นแต่โลกธรรม คู่หูของผมทำให้ผมเปิดตาเห็นธรรมให้กับผม และผมพบว่าตัวเองยังมีเรื่องที่ต้องเรียนอีกเยอะแยะ มันเจ็บปวดที่เราไม่สามารถตัดสินใจได้ว่า เรื่องนี้ควรตัดสินด้วยสัญชาตญาณหรือความคิด มันต้องหวังพึ่งประสบการณ์ของแต่ละคนในการดึงดาบเล่มนี้ออกมาได้

Ace of Swords, หนึ่งเดียวคือตัวฉัน

ผมยกให้ไพ่นี้มีความหมายว่า สติ มันเป็นความหมายที่แล่นเข้ามาในหัว ผมรู้สึกว่านี้เป็นความหมายที่ผมชอบและพอใจ และแตกต่างจากตำราอื่น ในศาสตร์ไพ่ทาโรต์ ไม่มีอะไรที่เรียกว่าผิด เพราะแต่ละคนจะตีความไพ่ในแบบของตัวเองได้ในสักวัน สิ่งสำคัญจริง ๆ ในการดำเนินชีวิตของผมอาจไม่ใช่แค่การไปปรึกษาไพ่ทาโรต์หรือปรึกษาคนอื่น แต่เป็นสติที่กำหนดให้ผมได้เลือกทำอะไรตามความต้องการของตัวเองจริง ๆ ไพ่ชุดดาบเป็นไพ่ที่หลายคนไม่อยากเจอ ไม่อยากให้มันปักหลัง ไม่อยากให้มันโผล่มา แต่เราไม่สามารถหนีจากมันได้ ผมยอมแพ้ที่จะหนีจากมัน ผมถือดาบพวกนั้นเพื่อทำให้ผมรู้ว่า ผมสามารถที่จะเลือกหนึ่งดาบเพื่อแก้ปัญหาชีวิตของผมได้ ชีวิตที่ไม่มีดาบก็เป็นเหมือนชีวิตที่ไม่รู้จักการเฝ้าระวัง และชีวิตที่ไม่รู้จักเฝ้าระวัง ในตอนสุดท้ายก็จะจบลงได้ไม่สวย ชีวิตคือศิลปะแห่งการสมดุล ชีวิตที่สมดุลจะรู้ว่าเราควรเลือกหยิบดาบตอนไหนและปล่อยดาบตอนไหน ชีวิตที่สมดุลคือชีวิตที่เรามีความสงบในทุกชั่วขณะที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเจอกับเรื่องทุกข์หรือเรื่องสุขมากแค่ไหนก็ตาม เพราะมันคือศิลปะ มันเลยไม่มีสูตรตายตัว แต่หลักการทั้งหมดที่ได้สอนให้เรารู้จักความสงบ Stoic, ศาสนาพุทธ, Spritual, เต้าเต๋อจิง และอื่น ๆ มีแก่นหลักเพียงหนึ่งเดียวคือ สติ 

    สติจะนำพาซึ่งสมาธิ ที่เป็นส่วนสำคัญของ Spiritual สติทำให้เรารู้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ ที่เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เรารู้จักอริยสัจสี่ในศาสนาพุทธ บางทีดาบอาจไม่ได้เลวร้าย แต่เราตีความให้ดาบเป็นตัวแทนของปัญหา บางทีถ้วย (Cups) อาจร้ายกว่า หรือเหรียญ (Pentacles) อาจร้ายกว่าถ้วย การตีความให้บางสิ่งเป็นตัวแทนของบางสิ่ง ทำให้เราเข้าใจภาพรวมในแบบของเรา และการจะเห็นภาพรวมเหล่านั้นได้ เราต้องใช้สติมากพอสมควร 

    ผมเจ็บปวดกับความคิดของตัวเอง และผมเติบโตก็ด้วยความคิดของตัวเอง ผมเลือกที่จะทำด้วยตัวเอง และผมไม่เลือกที่จะทำด้วยตัวเอง คุณไม่ต้องแปลกใจว่าใครกันที่จะรับผลกรรมจากการเลือกนั้น (คนรับผลกรรมนั้นก็เป็นผมเอง) พวกเราต้องรับผิดชอบในการเลือกของตัวเอง การหนีจากความรับผิดชอบไม่ได้ทำให้ความรับผิดชอบนั้นหายไป; กลับกัน มันทำให้เราเครียดจนนอนไม่หลับ, หลงไปกับความคิด, โกหกตัวเอง, เดินหน้าด้วยความเจ็บปวด, ทะเลาะกับคนอื่น, หนีจากปัญหาที่รุมเล้า, เสียใจและหึงหวง, และไม่สามารถเลือกได้ว่าเราควรทำอะไร สาเหตุเหล่านี้มาจากการที่เราไม่รับผิดชอบการเลือกของตัวเอง การจะรับผิดชอบตัวเองได้ เราต้องพึ่งพาสติ สติที่รู้ว่าเรากำลังทำอะไร สติที่รู้ว่าเราต้องเจอกับผลลัพธ์แบบนี้ สติที่รู้ว่าเราอ่อนแอ สติที่รู้ว่าเรามีศักยภาพที่จะแข็งแกร่งขึ้นได้ สติไม่ใช่ทางที่ทำให้เรามีความสุขและไม่ใช่ทางที่ทำให้เรามีความทุกข์ สติเป็นสิ่งที่ทำให้เรามองภาพรวมได้, ฝึกให้เรารับผิดชอบ หากพูดว่าสิ่งใดที่ศากยมุนีบอกว่าเป็นพื้นฐานและเป็นสิ่งที่ท่านมาตลอดตั้งแต่การตรัสรู้ สตินี่เองที่เรียกว่า ตถาคตวิหาร วิหารหรือพื้นที่ที่ศากยมุนีประจำตลอดเวลา

สรุปทุกอย่างของตัวฉัน

ผมเชื่อว่าทุกท่านคิดว่าผมเข้าสู่สถานะตื่นรู้ทางธรรมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากบทที่ทุกท่านได้อ่าน ผมหวังว่าทุกท่านจะประทับใจ แต่ผมคิดว่าผมยังมีเรื่องที่ต้องเรียนรู้อีกเยอะเลยครับ ผมไม่อยากให้ตัวเองเป็นเหมือนปราชญ์ที่รู้ทุกเรื่อง เข้าใจทุกเรื่อง ตอบได้ทุกเรื่องแบบนั้น ผมอยากให้มองว่าเป็นคนทั่วไป ที่ผมจะทำตัวไม่เอาไหนและนิสัยเสียกับบางเหตุการณ์ เพราะชีวิตมันคือศิลปะแห่งการสมดุล ผมเลยคิดว่าตัวเองจะไม่สมบูรณ์แบบเหมือนกับที่ผมคิดไว้ครับ ถึงไม่สมบูรณ์แบบแต่ก็มีค่ามากพอที่จะเติบโต งานเขียนนี้ทำให้ผมกลับไปหารากเหง้าและถามหาว่าแก่นของพุทธศาสนาคืออะไรอีกครั้ง และคำตอบที่ผมได้เจอคือ สติและปัญญา การวิปัสนามันทำให้ผมได้เจอกับตัวเองที่เปลี่ยนไปในทุก ๆ วัน การเห็นถึงการเกิดขึ้นของอารมณ์ การตั้งอยู่ของอารมณ์ และการหายไปของอารมณ์ ทำให้ผมได้รู้ว่าชีวิตมันคือเท่านี้, มันคือศิลปะแห่งการสมดุล ทางเดินยังอีกยาวไกล ผมรู้สึกเหมือนว่าตัวเองคือพระถังซัมจั๋งที่เดินทางพร้อมกับสานุศิษย์ ไปยังชมพูทวีปเพื่อได้เจอกับพระพุทธองค์ ความยากลำบากเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ชีวิตมีความหมาย แต่อย่าลืมที่จะขอบคุณและยินดี ที่เรายังได้เจอกับความยากลำบากนี้อยู่ หรือที่ผมและศากยมุนีเรียกว่า ชีวิตคือความทุกข์ เพราะแบบนั้นจงหาทางดับทุกข์ซะ  


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เรียนยังไง ให้ไม่คิดมากเกินไป โดยคนคิดมาก

วิธีการอ่านหนังสือ ฉบับคนคิดมาก