เรียนยังไง ให้ไม่คิดมากเกินไป โดยคนคิดมาก


    ตอนมัธยมต้น ในห้องที่มีจำนวนคน 52 คน ผมได้อันดับที่ 52 สำหรับพ่อแม่บางคนอาจเป็นห่วงว่าลูกตัวเองที่ได้อันดับโหล่แบบนี้ พวกเขาควรทำยังไงดี? พ่อแม่คนอื่นผมไม่รู้ แต่พ่อแม่ผมไม่ว่าอะไรและบอกว่า ตั้งใจเรียนนะลูก ผมอาจเป็นเด็กโชคดีที่พ่อแม่ไม่เคร่งเรื่องการเรียนมากนัก (ขอบคุณครับพ่อแม่) แต่นั่นเป็นอีกจุดหนึ่งที่ผมมักบอกกับคนอื่นว่า ผมเปลี่ยนไปเยอะมากในปัจจุบัน ผมไม่ได้จบปริญญาตรีครับ แต่มันก็ไม่ใช่ว่าผมจะหยุดเรียนรู้  Google หรือ YouTube เป็นแหล่งเรียนรู้ชั้นดีของผมเลยครับ ผมพึ่งพา Perplexity ในการหาข้อมูลอ้างอิง ผมเรียนภาษาด้วย Duolingo ทุกเช้า และเก็บเงินเพื่อซื้อหนังสือดี ๆ สักเล่ม ฟัง Podcast จาก The Standard ในหลายหัวข้อ ผมขอหยุดการอวดตัวเองเท่านี้ครับ ผมแค่อยากบอกว่า ถ้าหากคุณอยากเรียนรู้จริง ๆ คุณก็จะไปหาวิธีเพื่อเรียนรู้มันให้ได้ เพราะงั้นขอเป็นกำลังใจในหลาย ๆ แง่ของคนคิดมากที่ชอบเรียนเหมือนกันนะครับ

ลักษณะของคนคิดมาก

    เราต้องมาทำความรู้จักกันก่อนว่า คนคิดมาก มีลักษณะอย่างไร เพื่อให้คุณได้ตรวจสอบตัวเองด้วย อ้างอิงจากการสังเกตตัวเองของผม:

1. ใช้ความคิดมากกว่าความรู้สึก
2. เก็บทุกเรื่อง แม้ว่านั่นไม่ใช่ปัญหาของตัวเอง
3. จมกับความคิดได้ง่าย
4. จัดการความคิดของตัวเองได้ยาก

    มันเป็นลักษณะคร่าว ๆ เท่านั้นที่ผมเห็นจากตัวเอง ผมไม่ใช่หมอหรือจิตแพทย์ เพราะงั้นผมเลยบอกได้แต่อาการของตัวเอง หากท่านคิดว่าตัวเองเป็นคนคิดมากอยู่แล้ว หัวข้อนี้อาจไม่จำเป็นเท่าไหร่ ให้ข้ามไปหัวข้อต่อไปได้เลย

ให้คิดมากอย่างมีคุณภาพ (You Should Overthinking But High Quality) 

    เรื่องน่าปวดหัวของคนคิดมากอย่างผมคือ การที่เราคิดตลอดเวลา เรากังวลว่าเราวางตัวถูกหรือเปล่า? การกระทำของเราจะส่งผลกระทบกับใครหรือเปล่า? หรือแม้กระทั่งกลิ่นปากเรามันดีหรือเปล่า? ส่วนใหญ่จะเป็นความสงสัยที่ทำให้ตัวเองดูแย่ มากกว่าเป็นความสงสัยที่ทำให้เติบโตและแก้ปัญหา วิธีการจะปรับให้ความสงสัยที่ทำให้ตัวเองดูแย่ เป็นความสงสัยที่ทำให้เติบโตและแก้ปัญหาคือ ยอมรับว่าตัวเองคิดมากอย่างเป็นกลาง ผมรู้ว่าคนคิดมากจะรู้ว่าตัวเองคิดมาก แต่การรู้ตัวเองแบบนั้น มันเป็นในทิศทางที่โทษตัวเองและไม่เห็นคุณค่าของชีวิต ความคิดเป็นเหมือนดาบ ที่ถ้าหากใช้เป็น มันจะเป็นสิ่งป้องกันและให้อำนาจกับตัวเรา การโทษตัวเองเป็นนัยยะของการใช้ดาบเล่มนี้มาทำร้ายตัวเอง; คุณต้องรู้ตัวว่า ตัวเองกำลังถือดาบเพื่อป้องกันภัย ไม่ใช่กำลังกอดมันจนแน่น 

    การยอมรับว่าตัวเองคิดมากอย่างเป็นกลาง ทำได้ด้วย การมีสติอยู่กับลมหายใจ ใช่ครับ, ผมนับถือศาสนาพุทธและผมชอบใช้หลักการนี้มาแก้ปัญหาความคิดมาก ผมเคยได้ยินว่าการนั่งสมาธิมันทำให้ความรุนแรงของโรคทางจิตเวชมันหนักมากขึ้น หากคุณเป็นผู้ป่วยทางจิตเวช ให้คุณไปปรึกษาแพทย์ผู้ชำนาญการแทน สำหรับคนที่แค่เป็นคนคิดมาก การมีสติอยู่กับลมหายใจจะทำให้คุณต้องเจอกับความเจ็บปวดของตัวเองอีกครั้ง ในตอนแรกคุณจะเจอกับความคิดต่าง ๆ นานาที่เข้ามา และคุณจะคิดว่าความคิดเหล่านั้นมันจำเป็นต้องคิด ไม่ว่าจะเป็น เรื่องหนี้สิน, เรื่องความสัมพันธ์, เรื่องการเติบโตทางจิตวิญญาณ ความคิดเหล่านั้นมันจะโผล่เข้ามาตรงหน้าคุณ แม้ว่าสิ่งที่คุณเห็นจะมีแต่ความมืด (เพราะคุณหลับตา) ให้คุณฝึกในการรับรู้ความคิดพวกนี้ให้ดี สำหรับคนที่ไม่มีเวลาในการฝึกเป็นชั่วโมงหรือรู้สึกว่าฉันไม่สามารถทนนั่งเป็นชั่วโมงได้ ก็ให้จับเวลาและเลือกเวลาที่คิดว่าตัวเองไหว แต่อย่าให้ต่ำกว่า 1 นาที เพราะถ้าน้อยกว่านั้นคุณจะไม่ได้รับรู้ถึงการได้มองอย่างเป็นกลาง

    เมื่อคุณฝึกและเริ่มยอมรับว่าตัวเองเป็นคนคิดมาก มันคือการที่คุณยอมรับในตัวเองแล้ว ลึก ๆ พวกเราไม่อยากเป็นคนคิดมาก ความโหดร้ายของอาการคิดไปเองและความกังวลที่เหมือนกับยาพิษ มันทำร้ายเราทุกวัน แต่ความคิดมากเป็นส่วนหนึ่งของพวกเราไปแล้ว และไม่ใช่ว่ามันมีแต่เรื่องแย่ ความคิดมากทำให้เราใคร่ครวญว่า เราจะก้าวข้ามปัญหานี้ได้ยังไง เมื่อไหร่ก็ตามที่ความคิดมากของคุณไม่ได้เป็นความคิดที่ชี้ว่าคุณผิด แต่เป็นความคิดในการแก้ปัญหา การเรียนรู้ของคนคิดมากก็จะเริ่มขึ้น

ให้คุณหาเป้าหมายแบบคิดมาก (Find Purpose But Overthinking)

    ผมบอกกับทุกคนว่าผมไม่ได้จบปริญญาตรี แต่ที่จริง ผมดรอปจากมหาวิทยาลัยเพราะอาการคิดมากครับ ก่อนที่จะดรอปจากมหาวิทยาลัย ผมเรียนในคณะศึกษาศาสตร์การสอนภาษาญี่ปุ่น ก่อนที่จะเข้ามาเรียนผมก็คิดว่า ผมถนัดในเรื่องภาษาญี่ปุ่นก็ควรจะเข้าคณะที่เกี่ยวกับภาษาญี่ปุ่นสิ อะไรแบบนั้นครับ แต่อันที่จริง ผมไม่ได้แค่ชอบเรียนภาษาญี่ปุ่น แต่เพราะ ผมชอบเรียนภาษาญี่ปุ่น ผมขีดเส้นตายสีดำคำว่า "เรียน" เพราะผมชอบในการเรียน ไม่ใช่แค่ตัวภาษาญี่ปุ่น งานอดิเรกของผมคือ เรียนเรื่องใหม่ ๆ ครับ ผมหางานอดิเรกอื่น ๆ ทำแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการเล่นเกมหรือดูหนัง ผมก็ยังชอบที่จะใช้เวลาในการเรียนเป็นงานอดิเรกมากกว่า

    สำหรับคนที่ไม่ได้ชอบการเรียนแต่เป็นคนคิดมากที่อยากเรียนให้เก่ง ผมแนะนำว่าให้คุณหาเป้าหมายที่ดูงี่เง่าที่สุดเท่าที่จะคิดได้ ครับ ในเช้าวันหนึ่งของการต้องมาทำงาน อยู่ ๆ ความคิดของผมก็แล่นเข้ามาในหัวว่า "อยากเรียนภาษาอิตาลีจังเลย" จากการนั่งดูคลิป Shorts ของชายอิตาลีสองคนรีวิวสปาเกตตี้คาร์โบนาร่า ผมที่รู้ว่าตัวเองเป็นคนคิดมาก ถ้าหาเหตุผลแบบจริงจังผมจะกดดันตัวเองมากเกินไป ผมเลยให้เป้าหมายในการเรียนภาษาอิตาลีของผมว่า "ผมเรียนภาษาอิตาลีเพราะอยากกินพาสต้าให้อร่อยขึ้น" ผมรู้ว่ามันฟังดูงี่เง่ามาก แต่ให้คุณลองอ่านต่อไปก่อนครับ ผมเริ่มคิดมากว่า ผมควรเริ่มเรียนที่ไหน เพราะไม่มีใครบ้าไปลงทุนกับการลงเรียนภาษาราคาแพง เพราะอยากกินพาสต้าให้อร่อยขึ้น ผมเลยเลือกเรียนใน YouTube และ Duolingo ที่เป็นสื่อการสอนแบบฟรี ๆ ครับ ผ่านมาแล้ว 77 วันในการเรียนภาษาอิตาลี Anche posso parlo Italiano per mangiare la pasta ora (ผมก็สามารถพูดภาษาอิตาลีเพื่อกินพาสต้าอร่อยขึ้นได้แล้วครับ) ผมพูดบ่อยจนเพื่อนรำคาญเลยครับ

    การหาเป้าหมายที่ฟังดูงี่เง่ามันได้ผลเป็นอย่างดี สำหรับคนคิดมากอย่างผม  ถ้าเริ่มต้นด้วยความงี่เง่า เดี๋ยวสมองผมก็จะทำให้มันจริงจังเองครับ ถ้าหากผมเริ่มต้นด้วยเป้าหมายที่ดูไฟลุก ผมจะกลายเป็นเถ้าภายใน 7 วันเพราะผมโทษตัวเองในวันที่ 5 และเริ่มคิดมากในวันที่ 6 และเลิกทำในวันที่ 7 หากคุณเป็นคนคิดมากที่อยากหาเป้าหมายในการเรียนโดยไม่คิดมาก ทำให้เป้าหมายของคุณดูงี่เง่าที่สุดเท่าที่ทำได้ซะ! เพราะยังไงคุณก็จะหาเหตุผลที่ดูจริงจังมาให้เป้าหมายนั้นได้อยู่ดี

ให้คุณทำไปเรื่อย ๆ แบบคิดมาก (Practicing Even Overthinking)

    คนคิดมากอย่างผมจะกังวลเรื่องนี้หลังจากเรียนไประยะหนึ่ง เราจะทำได้นานแค่ไหนกันเชียว ผมบอกได้คำเดียวว่าเป็นความคิดที่บั่นทอนจิตใจอันหนึ่งเลย จำเรื่องที่ผมเรียนภาษาอิตาลีได้ไหมครับ? คุณคิดว่าผมลงเรียนใน Duolingo กี่ชั่วโมง เพื่อให้ตัวเองสั่งกาแฟในภาษาอิตาลีได้? คำตอบคือไม่เกิน 30 นาทีต่อวันครับ เผลอ ๆ ช่วงนี้น้อยลงกว่าเดิมด้วย ผมอยากทำอะไรอย่างอื่นที่ไม่ใช่การเรียนภาษาอิตาลีครับ ผมอยากดูโปรเพลย์เยอร์ที่เล่นเกม Valorant ผมอยากเล่น Twitter อยากอ่านข่าว อยากฟัง Podcast ผมไม่เอาเวลาตลอดทั้งวัน เรียนแต่ภาษาอิตาลีหรอกครับ ความท้าทายอย่างหนึ่งของคนคิดมากที่เริ่มเรียนอะไรบางอย่างคือ เราทุ่มเทกับเวลาเรียนในสัปดาห์แรกมาก ๆ ราวกับว่าเรากลัวว่าจะไม่ได้เรียนแบบนี้อีก Duolingo เปิดมานานแล้วครับ และยังมีฐานคนสนับสนุนอยู่ มันไม่หายไปในสองวันหลังจากคุณเรียนหรอก (เว้นแต่บริษัทปิดตัว) ที่ผมต้องการจะบอกก็คือ เราไม่จำเป็นต้องทุ่มสุดตัวในการเรียนช่วง 1-2 สัปดาห์แรก เราต้องตั้งใจเรียนครับ แต่ไม่ใช่ว่าทั้งวันของคุณจะเอาแต่เรียน คนคิดมากก็อยากมีสังคม อยากทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ คนคิดมากอย่างพวกเราก็ต้องหาความสุขใส่ตัวบ้างสิครับ เรื่องการจัดการเวลาแล้วแต่คุณจะจัดการเอง หากคุณคิดมากเรื่องการจัดการเวลา ก็ให้เรียนไม่เกิน 30 นาทีครับ ความคิดเรื่อง ฉันควรจัดเวลายังไง จะเปลี่ยนเป็น นี่ฉันเรียนเกินเวลาที่กำหนดหรือยังนะ แทน

     มันคือการทำให้คุณทำแบบเดิมซ้ำ ๆ ในการพัฒนาองค์ความรู้ใด ๆ ก็ตาม ให้กลายเป็นทักษะในชีวิต ส่วนสำคัญคือ การทำเรื่องเดิมซ้ำ ๆ Duolingo เป็นแอปพลิเคชั่นเรียนภาษา ที่ทำให้คุณต้องเจอกับคำศัพท์อันเดิมทุกครั้งที่กลับมาเรียน คุณจะเบื่อหน่ายและคิดว่า ฉันรู้คำนี้แล้ว ทำไมต้องเรียนซ้ำซาก ผมบอกได้เลยว่าการเรียนภาษาให้ได้ผล เราต้องได้เจอคำศัพท์นั้นบ่อย ๆ นี่แหละครับคือการเรียนที่เลิศที่สุด คนคิดมากไม่ค่อยคิดมากเรื่องเจออะไรซ้ำ ๆ ซาก ๆ มากนัก เพราะพวกเราเอาเวลาไปคิดเรื่องโทษตัวเองแทน แต่ถึงยังไงก็คงเกิดอาการเบื่อเหมือนกัน ผมยังเบื่อที่จะคิดมากในเรื่องเดิม ๆ เลยครับ ดังนั้นการทำเรื่องเดิมซ้ำ ๆ ต้องไม่รบกวนเราในการไปทำอย่างอื่น ผมเชื่อว่าแต่ละคนจะมีสิ่งที่อยากทำมากกว่าการเรียน ตอนคุณไปเล่นหรือหาความสุขใส่ตัว ก็อย่าได้คิดมากเกินไปนะครับ

ผมเป็นคนคิดมากที่เรียนไปตลอดทั้งชีวิต (I'm Overthinker who Life long learning)

    ถ้าจะให้พูด นี่ก็เป็นเนื้อหาส่วนหนึ่งของหนังสือพัฒนาตัวเองที่ผมอ่านและไปฟังมาทั้งสิ้น มันคือเรื่องเดิม ๆ ที่พวกเราก็ได้ยินกันมาทั้งนั้น ถ้าอยากเก่งก็ต้องทำแบบนี้ หรือ บริหารเวลาอย่างไรเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด คนคิดมากอย่างผมจะคิดมากเรื่องนี้คือ เราเก่งหรือยังนะ? เราบริหารเวลาได้ดีหรือยังนะ? เราทำตามที่เขาบอกหมดแล้ว จะได้ผลหรือเปล่านะ? บางทีสำหรับคนคิดมากมันมีเรื่องให้ต้องคิดเยอะเกินไปจนทำให้วิธีการที่แนะนำมา (รวมถึงวิธีการจากบทความนี้) ไม่ได้ผล แต่ผมก็เชื่อว่ามันยังมีคนคิดมากที่ชอบเรียนรู้ อยู่ในสังคม ข้อดีของคนคิดมากคือ เมื่อเราได้คิดในเรื่องที่เป็นประโยชน์กับตัวเอง (สักที) เราจะแยกหมวดหมู่ได้เลยว่าอะไรคืออะไร ได้อย่างแยบคาย มันคือข้อดีที่ผมเห็นจากการเป็นคนคิดมาก ขอให้คนคิดมากทั้งหลายโชคดีในการเรียนครับ   

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เพราะฉันคือ 10 of Swords

วิธีการอ่านหนังสือ ฉบับคนคิดมาก