ความสุขของการเป็นคนคิดมาก
ในหลายบทความที่ผ่านมา ผมมักจะเขียนให้ความคิดมากเป็นเหมือนตัวร้ายของชีวิต ผมคิดว่าความคิดมากไม่ได้มีแต่ข้อเสียอย่างเดียว เป็นเรื่องจริงที่บ่อยครั้ง ความคิดมากทำลายสิ่งต่าง ๆ ที่เข้ามาในชีวิต แต่ข้อดีของมันอย่าง การเป็นจุดเริ่มต้นของการตามหาความหมายของชีวิต ก็เป็นเรื่องจริงสำหรับผมเหมือนกัน
ในบทความนี้ ผมจะมาเขียนสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นจากการเป็นคนคิดมากให้ทุกคนได้อ่านกันครับ บอกไว้ก่อนว่า สิ่งดี ๆ พวกนี้ มันได้จำกัดให้เฉพาะคนคิดมาก แค่ชีวิตของผมได้เจอกับสิ่งดี ๆ พวกนี้จากอาการคิดมากเท่านั้น
ความคิดมากเป็นจุดเริ่มต้นที่ให้เราออกตามหาความหมายของชีวิต
ผมอ่านหนังสือการพัฒนาตัวเอง, หนังสือปรัชญา และหนังสือธรรมะ เพื่อความสุข สิ่งหนึ่งที่คนคิดมากต้องการคือ ความสงบจากเสียงภายในที่ยุ่งเหยิง ในตอนแรก ผมใช้สมาธิเพื่อกดทับอารมณ์ความรู้สึกและความคิดในหัว มันพอช่วยให้ผมสงบลงได้บ้าง แต่ความคิดมากมันไม่ได้หายไปไหน และผมก็กลับมารู้อีกครั้งว่า การจะแก้ปัญหาความทุกข์ใจนี้ได้ ผมต้องมองมันอย่างที่มันเป็น
ในหลักของศาสนาพุทธ (ผมจะอ้างอิงการฝึกส่วนใหญ่จากศาสนาพุทธ) ทุกข์เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรา ความเศร้า, ความโศก, ความเจ็บปวดในจิตใจที่ซับซ้อน ร่วมไปถึงความคิดมาก มันเป็นส่วนหนึ่งของความทุกข์ การทำสมาธิไม่ได้ช่วยให้ความทุกข์พวกนี้หายไป การทำสมาธิคือการเยี่ยวยาภายหลังจากที่เราผ่าตัดเนื้อร้ายออกแล้ว การผ่าตัดเนื้อร้ายที่ผมว่าคือ การที่เราต้องมองไปที่ทุกข์และแก้ต้นเหตุของมันให้เด็ดขาด ถ้าหากความเสียใจของผมเกิดจากการหึงหวงและยึดติด ผมต้องจัดการความหึงหวงและการยึดติดก่อนที่ผมจะนั่งสมาธิ
กว่าผมจะได้เรียนรู้ความหมายของชีวิต ผมเจอทุกข์มาเยอะมากครับ เราเทียบจำนวนความทุกข์ของกันและกันไม่ได้ แต่เราบอกว่า ชีวิตของเรามันทุกข์ ได้ทุกคน ผมโดนแฟนบอกเลิก, เพื่อนไม่คบ, การจากไปของคนในครอบครัว และผมเชื่อว่าในอนาคตผมจะเจอความทุกข์แบบเดิมแต่เรื่องใหม่อีกเรื่อย ๆ แต่ยังไงชีวิตที่เป็นคนคิดมากของผม มันทำให้ผมต้องเจอกับความคิดและคำถามเยอะแยะ หนึ่งในคำถามที่ผุดขึ้นมาจากหนึ่งพันคำถามในหัวคือ เราเกิดมาทำไม? คำถามของการตามหาความหมายของชีวิตมันได้ผุดเข้ามาในหัวผมครั้งหนึ่ง
จุดเริ่มต้นของการโดนเรียกว่า คนฉลาด
ผมเคยเขียนไว้ในบทความแรกว่า ผมเคยอยู่ในอันดับที่ 52 ของจำนวนนักเรียนทั้งหมด 52 คนในห้อง คุณคิดว่าประโยคนี้แสดงถึงความฉลาดของผมหรือเปล่า? บางคนอาจตอบว่า ไม่เกี่ยวข้องกัน เพราะความฉลาดไม่ได้ถูกวัดจากเกรดหรืออันดับ แต่เป็นการวิเคราะห์ปัญหาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
การวิเคราะห์ปัญหาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง คุณคิดว่าการกระทำนี้มีหน้าตาเป็นยังไง? เหมือนกับ เชอร์ล็อค โฮส์ม ที่นั่งท่ากอดเข่าแล้วเอามือประกบกันเป็นรูปสามเหลี่ยมหรือเปล่า? หรือมีท่าทางเหมือนกับ เอโดงาวะ โคนัน ที่นั่งอยู่หลังเก้าอี้ของนักสืบโมริ โคโกโร่? ผมคิดว่าตอนเราวิเคราะห์ปัญหา เรานั่งคิดมากครับ อาการของความคิดมากคือการมีทฤษฏีและรูปแบบการแก้ปัญหาที่หลากหลายจนเลือกใช้ไม่ถูก หรือไม่ก็จมอยู่กับความคิดไปชั่วขณะ โชคดีหน่อยก็หนึ่งชั่วโมง โชคร้ายหน่อยก็อาจเป็นเดือน พวกเราบอกได้ว่าการเป็นคนฉลาดเหมือนกับตัวเอกจากวรรณกรรมสืบสวน มันเท่และดูเจ๋งมากแค่ไหน สำหรับผมที่เป็นคนคิดมาก ตอนผมคิดมากในการแก้ปัญหา มันทำให้ผมรู้สึกว่าผมเป็นนักสืบจิตวิปลาสเลยครับ มันมีข้อสังเกตตรงที่เราอาจจมกับความคิดได้ง่าย แต่หลายครั้งตอนที่เราได้บอกวิธีการแก้ปัญหาออกมา ผู้คนจะประหลาดใจในวิธีการที่พวกเขาได้ยินครับ
สรุป
จากประสบการณ์ของผม ผมเชื่อสุดใจแล้วว่า อย่ามองอะไรแค่ด้านเดียว ความคิดมากมันมีข้อดีและข้อเสียที่เราต้องบริหารให้สมดุล ชีวิตคือศิลปะแห่งการสมดุล ต่อให้เป็นเครื่องมือของยอดนักสืบ ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะมีแต่ข้อดี การยอมรับข้อดีของตัวเอง มีความสำคัญพอ ๆ กับ การยอมรับข้อเสียของตัวเอง คนที่เห็นแต่ข้อเสียตัวเองอย่างคนคิดมาก ในสักวันพวกเขาจะได้เห็นข้อดีของตัวเองในท้ายที่สุด ไม่มีใครบอกได้ว่าเป็นตอนไหนของช่วงชีวิต แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่คนคิดมากยอมรับและเห็นข้อดีของตัวเองจากก้นบึ้งของหัวใจ เสียงในหัวที่ยุ่งเหยิงก็จะเบาลงและเข้าสู่สภาวะความสงบทันที
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น